ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ยุคสมัย

๒๕ ม.ค. ๒๕๖๘

ยุคสมัย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ชอบทั้งสอง

กราบหลวงพ่อ ภาวนาพุทโธด้วย สวดบทจักรพรรดิด้วย สลับกันไปได้ไหม ปฏิบัติทั้งสองศาสตร์เลยได้ไหมคะ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามคือว่าถ้าปฏิบัติแล้วลังเลสงสัยว่า พุทโธด้วย แล้วสวดมนต์ด้วย มันจะไปกันได้หรือไม่

แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นชาวพุทธๆ ให้มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา ความเชื่อในพระพุทธศาสนา เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อผลของกรรม นี่เป็นสมบัติของชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา ถ้าฝากศาสนาไว้กับเรา มันมีคุณประโยชน์อย่างไร มันมีคุณประโยชน์ให้เรามีเข็มทิศในชีวิตไง มีเข็มทิศเครื่องดำเนินในชีวิตของเรา

ถ้าเราทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน บุญและบาปฝังลงที่หัวใจของตน ถ้าทำคุณงามความดีมันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นชาวชนบทเขาทำบุญตักบาตรของเขา เขาเชื่อว่าเกิดมาในภพชาติหน้าเขาจะได้มีอยู่มีกินของเขาเพื่อชีวิตไม่ต้องทุกข์ยากจนเกินไป

นี้ความเชื่อในพระพุทธศาสนาเชื่อถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจะเกิดก็ขอให้เกิดโดยบุญโดยกุศล เกิดด้วยคุณงามความดีของตนไง เพราะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนานะ เขาให้ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีความสุขในหัวใจของตน เห็นไหม

เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ต้องพูด มันชัดเจนกลางหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น แล้วมันเป็นอจลศรัทธา

เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนานี่เขาเรียกศรัทธา ศรัทธาคนที่นับถือพระพุทธศาสนาเดี๋ยวก็ไปเข้ารีต เดี๋ยวก็ไปเชื่อภูตผีปีศาจ นั่นน่ะศรัทธาความเชื่อมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไง

แต่ถ้าทำความสงบของใจของตนได้ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามามันจะเป็นอจลศรัทธา คือศรัทธามั่นคงแน่นอน เพราะมันได้สัมผัสถึงความสงบสุข มันได้สัมผัสถึงพุทธะ เพราะพุทธะนี้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาพุทธะนี้รื้อค้นค้นคว้าอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ไง สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะเป็นอจลศรัทธา ศรัทธามั่นคงแข็งแรงไม่คลอนแคลน

ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนานี่เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา

ศาสนาก็เรื่องของศาสนาสิ ฉันก็ทำหน้าที่การงานของฉันสิ ฉันก็จะหาความสุขแบบของฉันสิ” นั่นมันก็เป็นบุญเป็นบาปของคน อันนี้มันเป็นบุญเป็นบาปนะ

เป็นบุญเป็นบาป เพราะถ้ามันมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เขาจะมีคุณประโยชน์กับชีวิตของเขา เขามีเข็มทิศเครื่องดำเนินชีวิตของเขาไง จะทำอันนี้ก็ทำไม่ได้ มันเป็นบาป เราไม่ควรทำ จะทำอันนี้เป็นบุญกุศล เราเหยียบคันเร่งของเรา เราสร้างคุณงามความดีของเรา เราก็ยังไม่รู้ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร

เพราะชาวชนบทเขาทำบุญตักบาตรของเขา เขาเชื่อของเขาว่าชาติหน้าภพหน้าจะได้มีความสุขความสงบบ้าง จะได้มีลาภสักการะเพื่อชีวิตเราบ้าง เขาก็เชื่อของเขา

ฉะนั้น ถ้าเรามีความเชื่อของเรา เราฝึกหัดปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นคุณสมบัติของเราไง

ฉะนั้น คำถาม “ภาวนาพุทโธด้วย แล้วสวดบทจักรพรรดิด้วย สลับกันไปจะได้ไหม

ได้ การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติจะฝึกหัดแนวทางปฏิบัติไหนก็ฝึกหัดไปเถิด ทำคุณงามความดีของเราไง มันเหมือนกับนักกีฬา เราจะเล่นกีฬาประเภทใด จะทำสิ่งใดก็ขอให้มันดีในกีฬาประเภทนั้น แล้วความถนัดความชอบของคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็เล่นกีฬา ๒๓ ประเภท บางคนเล่นได้ทุกประเภทเลย แต่เล่นเพื่อออกกำลังกายไง

นี่ก็เหมือนกัน เราฝึกหัดเพื่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตของเรา เราฝึกหัดปฏิบัติของเราไง ถ้าฝึกหัดปฏิบัติของเรา ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ได้ฝึกหัดปฏิบัติ

ครูบาอาจารย์ของเรานะ ขอให้ชาวพุทธได้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเถิด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะทำปฏิบัติอย่างใดก็ได้ เพราะการฝึกหัดปฏิบัติมันเป็นสุขภาพกาย สุขภาพจิตไง ถ้าสุขภาพจิตของคนแข็งแรงขึ้นมา คนที่มีอำนาจวาสนาพอเขาแข็งแรง คนแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บมันไม่เข้ามากวนมาก จิตใจที่แข็งแรง กิเลสมันก็ไม่รบกวนจนเกินไป

แล้วถ้าจะเอาเรื่องผลกัน ถ้าเอาผลกันมันต้องพูดไปอีกกรณีหนึ่งเลย มันต้องมีเหตุมีผล พระพุทธศาสนามีเหตุมีปัจจัย เพราะเหตุนี้มีถึงมีเหตุนี้ ถ้าเหตุนี้มันไม่มี แต่มันมีผล เออมันมีได้อย่างไรวะ

เหตุนี้มีถึงมีไง เพราะมีเหตุนี้มันถึงมีผลต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อเนื่อง มันถึงมีผลต่อเนื่องไป ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ธรรมต้องมีเหตุและมีผล เหตุถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้าฝึกหัดปฏิบัติถ้ามีครูบาอาจารย์ เวลาเขาฝึกหัดเขาหาครูบาอาจารย์เพราะเหตุนี้ไง แต่มันสำคัญที่ว่าถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีงาม เห็นไหม

ดูข่าวสิ เวลาข่าวไปฝึกไปหัดแล้วไปเจอครูบาอาจารย์มันก็ดีแต่เริ่มต้นไง พอท่ามกลางขึ้นมาก็ล้วงกระเป๋า ไอ้ล้วงกระเป๋าล้วงสิ่งใดมันเรื่องหนึ่งนะ แต่เราว่ากาลเวลาของบุคคลคนนั้นเสียไป น่าเสียดายมาก

แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรา มีครูบาอาจารย์ที่ดีงามไง ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีงามเขาก็พยายามจะตรวจสอบ ตรวจสอบนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมคือว่าฝึกหัดปฏิบัติจนมีหลักมีเกณฑ์ คำว่า “มีหลักมีเกณฑ์” เขารู้ถึงอาการของจิต เขารู้ถึงภาวะ จิตประเภทนี้ จิตระดับนี้อยู่ในระดับใด จิตในระดับนี้มันจะยกขึ้นสูงส่งมากน้อยขนาดไหน

คำว่า “จิตระดับนี้” อ้าวเทวดา อินทร์ พรหมแตกต่างกันไหม เทวดากับพรหมวุฒิภาวะแตกต่างกันไหม จิตของคนหยาบหนาบางเบาแตกต่างกัน จริตนิสัย กิเลสที่มันครอบงำมันก็แตกต่างกันไป คำว่า “แตกต่างกันไป” เพราะอะไร กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันไม่มีใครทำเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน ไม่มีหรอก

ในโรงพยาบาล ถ้าหมอประจำบ้านเขาตรวจปฐมภูมิเริ่มต้นว่าเป็นอะไร พอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนั้น ส่งไปแล้วไปแต่ละแผนก ตา หู จมูก ตับ ไต ไส้ ปอด กระดูก เลือด มันไปคนละประเภทๆๆ

กิเลสก็เหมือนกัน มันให้เหมือนกัน ชอบเหมือนกัน แสวงหาเหมือนกัน เว้นไว้แต่ไปชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ไอ้อย่างนั้นน่ะมีเรื่องเลยนะ ไปชอบสาวคนเดียวกันมีเรื่องแน่ๆ เลย ถ้าชอบเหมือนกันไง แต่ส่วนใหญ่มันไม่มี ส่วนใหญ่แล้วความชอบของคนมันแตกต่างกัน แล้วถ้าละเอียดลึกซึ้งไปแล้วไปเลย

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์พิจารณากายๆ ส่วนใหญ่กายานุปัสสนาทั้งนั้นน่ะ แล้วหลวงปู่ดูลย์พิจารณาจิตก็จิตล้วนๆ เลย มีหลวงตาพระมหาบัวนี่แปลก ขั้นแรกพิจารณาเวทนา ขั้นที่สองพิจารณาธาตุ ๔ คือกาย ขั้นที่สามพิจารณาอสุภะ ขั้นที่สี่พิจารณาจิต นี่ไง คนที่มีวาสนา มีต่างๆ มันแตกต่างกันไปทั้งนั้นน่ะ

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่พิจารณากายๆ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ก็แตกต่างกัน แตกต่างกันด้วยที่ว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ บุญใครมาก บุญใครน้อย บุญใครมากเห็นกายมหัศจรรย์ไปเลยนะ ถ้าบุญน้อยก็เห็นกายเหมือนกันแต่กายเป็นอีกประเภทหนึ่ง นี่พูดถึงว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ สร้างอำนาจวาสนามามากน้อยแตกต่างกันอย่างไร นี่พูดถึงว่าเวลาภาวนาไปไง

นี่คำถามเฉยๆ นะ “ภาวนาพุทโธกับสวดจักรพรรดิจะทำสลับกันไปได้หรือไม่ได้

ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติเริ่มต้นนะ เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้มีความสงบสุขในใจนี่สุดยอด ถ้ามันสุดยอดแล้วนะ เราฝึกหัดจนมันเป็นพุทธะ จนจิตมันเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือสัมมาสมาธิ พุทธะคือพุทธะที่แท้จริง แต่นี่มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์คืออาการของจิตไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายพญามารไง นั่นน่ะอยู่ที่ฐีติจิต มันมีลูกสาว ๓ คน ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมีหลานมีเหลนอีกนะ มันจรมาอีกมากมาย กิเลสน่ะ

แล้วเวลาจิตเราสงบเข้าไปถึงพุทธะ สิ่งที่ว่าเริ่มต้นที่จะฝึกหัดปฏิบัติค้นคว้ามันเป็นความมหัศจรรย์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านจะสนทนาธรรมไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

แต่โดยทั่วไปปฏิบัติเป็นประเพณีวัฒนธรรม เชิญเถอะครับ ขอเชิญให้ปฏิบัติ ขอให้จิตสงบ ขอให้มีความสุขสงบ ยอดเยี่ยมแล้ว ยอดเยี่ยม

แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังนะ สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานคือฐานที่ตั้งแห่งการงาน คือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ภวาสวะคือภพ คือตัวจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตตภาวนาจะเริ่มต้นตรงนั้นไง ถ้าเริ่มต้นตรงนั้น เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า ถ้าฝึกหัดในการสลับกันสองทางสามทาง ได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะปฏิบัติเพื่อความสงบสุขเท่านั้น ปฏิบัติเป็นฆราวาสธรรม ทำแบบฆราวาส เพราะพระพุทธศาสนามีปริยัติ ปฏิบัติ

ปริยัติศึกษาแล้ว ศึกษามีความรู้แล้ว มีความรู้ไว้ทำไม ก็มีความรู้ไว้ศึกษาค้นคว้าหาตนเองไง แล้วการศึกษาค้นคว้าหาตนเองมันจะได้มาด้วยการหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จะพิจารณา จะเพ่งกสิณสิ่งใด นั่นน่ะคือความสงบสุข แล้วมันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นความชอบของแต่ละบุคคล

แต่อย่าเชื่อๆๆ นะ อย่าเชื่อ กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่าเชื่อ อย่าเชื่อครูบาอาจารย์ที่ชักนำไป สะกดจิต อุปาทานหมู่ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ ห้ามเชื่อ แต่เราทำของเรา เราจะเอาของเรา

เราไม่เชื่อใครทั้งสิ้น แต่ไปอาศัยสถานที่ เขตอภัยทาน เขตการฝึกหัดปฏิบัติ ไปวัดวาอารามขอเชิญให้ไป ไปเถอะ แต่เราต้องมีสติมีปัญญา ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อที่ครูบาอาจารย์สอนๆ แต่วิธีการปฏิบัติ วิธีการฝึกหัด วิธีการต่างๆ ให้ฝึกหัดให้ทำขึ้นมา ฝึกหัดใจของตนให้เข้มแข็งขึ้นมา นี้คือการฝึกหัดปฏิบัติ

ฉะนั้น ถ้าปฏิบัติ ปฏิบัติด้วย สวดมนต์ด้วยได้ไหม

ได้ การสวดมนต์ก็เป็นการประพฤติปฏิบัติแบบเริ่มต้น แล้วพุทโธๆ คือเราตั้งใจของเรา แล้วฝึกหัดปฏิบัติ ขอให้ทำเถิด มันเป็นประโยชน์แน่นอน มันเป็นประโยชน์กับชีวิตไง เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อร่างกายอุดมสมบูรณ์แข็งแรง จิตใจต้องการศีลต้องการธรรมเพื่อให้กิเลสมันไม่ครอบงำจนเกินไป ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วให้ฝึกหัด

แล้วฝึกหัดทั้งปฏิบัติด้วย สวดมนต์ด้วย ผิดไหม

ไม่ ดี ส่งเสริมกัน แล้วฝึกหัดแล้ววัดที่ใจเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ใจเราดีขึ้น ใจเราสงบสุขขึ้น มีความปกติสุขดี นั่นเป็นประโยชน์แล้วแหละ แต่ถ้าเอามรรคเอาผลนะ ค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง อีกไกล อีกไกล

แม้แต่พระปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติง่ายๆ นะ ลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เป็นแสนเป็นล้านเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว นี่มันหันซ้ายหันขวากันอยู่นั่นน่ะ

ถ้าหันต์จริงๆ แล้วสงบสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี วิหารธรรมยิ่งยอดเยี่ยม เหนือโลกธรรม ๘ เหนือลาภยศสรรเสริญ เหนือสักการะบูชาใดๆ ทั้งสิ้น เหนือโลก ถ้าเป็นข้อเท็จจริง จบ

ถาม : เรื่อง “สื่อธรรม

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง ผมมีเทปและซีดีธรรมะของหลวงตาและของพระอาจารย์มากมาย เมื่อก่อนฟังธรรมะผ่านสื่อเหล่านี้ แต่ปัจจุบันเครื่องเล่นซีดีและเทปมันล้าสมัย และต่อๆ ไปคงหาไม่ได้แล้ว ผมไม่สะดวกที่จะฟังผ่านเครื่องเล่นดังกล่าว ทุกวันนี้ผมฟังธรรมผ่านเว็บไซต์ผ่านมือถือ เพราะมือถือพกติดตัวตลอดเวลา สะดวกสบาย สามารถฟังได้ทุกที่ทุกเวลา

ผมเก็บรักษาทั้งเทป ซีดี แม้แต่หนังสือธรรมะไว้ในตู้หนังสือ แต่อดกังวลใจไม่ได้ครับว่า ในวันข้างหน้าถ้าผมเกิดตายไป ลูกๆ หรือคนใกล้ชิดอาจจะทำลายเทป ซีดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี เกรงจะเป็นบาปกรรมกับพวกเขาเหล่านั้น ส่วนหนังสือธรรมะผมไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรครับ เพราะมันชัดเจน เข้าใจได้ (ผมตั้งใจจะเก็บหนังสือธรรมะไว้เป็นมรดกธรรมให้กับลูกๆ อยู่แล้วทั้งเทปและซีดี เกรงว่าพวกเขาอาจจะไม่ใส่ใจเท่าหนังสือ ผมกราบขอคำชี้แนะด้วยครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูง

ตอบ : นี่พูดถึงสื่อ พูดถึงสื่อนะ มันเป็นวิวัฒนาการของสังคมและของโลก ถ้าพูดอย่างนี้แล้วเรานึกถึงหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดถึง ที่สมัยท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ๘ ปี หลวงปู่มั่นเทศนาว่าการโลกธาตุนี้หวั่นไหวเลย สะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด สะเทือนเลื่อนลั่นในหัวใจของหลวงตาพระมหาบัว ในดวงใจของหลวงปู่เจี๊ยะ ในดวงใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม

นี่อยากฟังธรรมๆ หลวงตาพระมหาบัวท่านพูด ผู้ที่ไปฝึกหัดปฏิบัติเหมือนทารกเด็กน้อยขาดอาหาร เด็กทารกเด็กน้อยถ้าเจอหน้าพ่อเจอหน้าแม่มันจะดื่มน้ำนมจากอกไง เห็นพ่อเห็นแม่มันจะวิ่งเข้าหาเพื่อจะดื่มน้ำนมเพื่อดำรงชีวิตของมัน ทารกฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจพึ่งตัวเองไม่ได้ จิตใจอาศัยตัวเองก็ไม่ได้ อาศัยพึ่งแต่ครูบาอาจารย์

สมัยนั้นมันไม่มีสื่อสารต่างๆ ไง เวลาหลวงปู่มั่นจะเทศนาว่าการ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกเลยล่ะ “ฟ้าผ่าฟ้าผ่า!” โลกธาตุมันหวั่นไหวไง เวลาหลวงตาพระมหาบัวแอบฟังอยู่ใต้ถุน ใครจะตอบปัญหาจะไปฟัง เพราะมันไม่มีสื่อ เห็นไหม ฉะนั้น สมัยพุทธกาลถึงบอกว่า การฟังธรรมนี้แสนยาก มุขปาฐะ ออกจากปากของผู้ที่มีคุณธรรมเท่านั้น มันไม่มีสื่อไง

หลวงตาพระมหาบัวท่านถึงเสียดายมากว่าสมัยนั้นยังไม่มีเทป ท่านเห็นเทปแคสเซ็ตเครื่องแรกของเมืองไทยเวลาในงานศพของหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าอันหนึ่งเหมือนตู้กับข้าวเลย เบ้อเริ่มเทิ่มเลยสมัยก่อน นั้นสมัยเริ่มต้นไง

เราจะบอกว่า สื่อต่างๆ ที่เป็นวิวัฒนาการของสังคม ของโลก ของวิทยาศาสตร์ มันก็มาเป็นยุคเป็นสมัย ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเทปแคสเซ็ต แผ่นซีดีอย่างนี้ ตอนนี้มีทัมบ์ไดร์ฟใช่ไหม ยิ่งไปใหญ่เลย เราอยู่กับสังคม เราอยู่กับโลก โลกก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถ้าพูดถึงเทป พูดถึงซีดีของครูบาอาจารย์นะ ถ้าเป็นธรรมนะ ถ้าเป็นของหลวงตาพระมหาบัว เป็นของครูบาอาจารย์เรา เราต้องขอบคุณ ขอบคุณบุญคุณสิ่งที่ท่านได้เผยแผ่เผยแพร่ออกมาให้ชาวพุทธเราได้ฟังธรรม ได้มีสิ่งชี้นำ ได้มีสิ่งที่พึ่งพาอาศัย เราต้องมองมุมกลับว่า เราขอบคุณ ขอบคุณที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านแสดงธรรมแล้วอัดเทปไว้ ลงซีดีไว้ แล้วเผยแผ่

เราเคยอยู่กับท่าน อัดเทปแจก อัดเทปแจก ขอมาทั่วประเทศไทย ขอมาทั่วโลก จนท่านก็บอกว่ามันเป็นภาระของพระมาก พระที่มีหน้าที่อัดเทป ขอมาที ส่งเป็นกล่อง กล่องละสิบม้วนๆ น่ะ เทปแคสเซ็ต ขอมาทั่วโลก ขอมาจากอเมริกา ขอมาจากยุโรป ขอมาทั่วไปหมด

ถ้าพูดถึงเทปถึงซีดี สิ่งที่สื่อธรรมะ เราต้องขอบคุณนะ ขอบคุณครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ทำไว้ ผล ผลคือสังคมร่มเย็นเป็นสุข ผลคือสังคมที่มีความสงบสุข ผล ผลคือว่าจิตใจของคนเข้าใกล้สู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าใกล้โดยภาคปฏิบัติ เข้าใกล้โดยข้อเท็จจริง เข้าใกล้โดยการแสวงหา

การเข้าใกล้ เข้าใกล้โดยการศึกษานั้นทรงจำธรรมวินัย แต่พระกรรมฐานให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้ฝึกหัดสติ ให้มีกตัญญูกตเวที ให้ขอบคุณคนที่มีบุญมีคุณ ให้ขอบคุณสังคมที่ได้พึ่งพาอาศัย ให้เห็นคุณค่าของสังคมที่ดีงาม นี่ไง หลวงตาพระมหาบัวท่านเน้นย้ำเรื่องความสามัคคี เรื่องความตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ นี่เน้นย้ำไง

พูดถึงเทป แผ่นซีดี หนังสือ สิ่งที่มีมามันเป็นวิวัฒนาการของสังคมของโลก แต่สื่อนั้นเราเอามาสื่อธรรมะ สื่อธรรมะของครูบาอาจารย์ที่ท่านมองการณ์ไกล ที่ท่านอาบเหงื่อต่างน้ำแสวงหาสิ่งนี้มา แล้วต้องมีการกระทำ ต้องมีการอัดเทป ต้องมีการถ่ายเทป แล้วต้องมีต้นทุน ต้องมีการแจก

แล้วท่านเน้นย้ำ พระถ้าให้กันไม่ได้ ใครจะให้ พระไม่ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะทรง พระเป็นผู้นำไง นักรบไง ท่านเน้นย้ำนะ

ได้มาด้วยกำลังของลูกศิษย์ลูกหาท่าน แจกฟรีๆ แจกฟรีเด็ดขาด ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยน แม้แต่มีคนมานะ มาถวายปัจจัยว่าจะช่วย จะช่วยท่าน

ท่านบอกว่าไม่จำเป็น การให้ ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ การให้ด้วยการแลกเปลี่ยนมันลดทอนคุณค่าความดีงามของสื่อนั้น ท่านพูด

มีหลายๆ คนไปบอกเลยว่า “มันควรจะขายต้นทุน มันควรจะทำอย่างนั้นมันจะได้ยืนยาว

แล้วมันยาวแค่ไหนล่ะ

เทปแคสเซ็ตมันเป็นภาระที่จะเก็บของผมนี่ ซีดี แล้วจะรักษากันอย่างไร” นี่ไง มันเป็นภาระไหม

มันเป็นภาระทั้งนั้นน่ะ

แต่เรามองมุมกลับ ขอบคุณๆ ขอบคุณครูบาอาจารย์ที่เมตตาธรรมแล้วเผยแผ่ ทำให้เราได้ยินได้ฟัง ทำให้เรามีสติมีปัญญา ทำให้เรามีที่พึ่งที่อาศัย แล้วนี่จะส่งต่อให้ลูกให้หลานให้เป็นมรดกธรรมต่อลูกต่อหลานไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ ไม่ฝากศาสนาไว้กับใคร ฝากศาสนาไว้กับสงฆ์ สงฆ์ผู้ที่บวชเป็นพระ บวชเข้ามาเป็นศากยบุตรแล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ แล้วทำเป็นข้อเท็จจริง ถ้าเป็นธรรม ให้เป็นทาน ให้ธรรมเป็นทาน ให้สติ ให้ปัญญา ให้คนฉลาด

ไม่ใช่ให้ด้วยความเป็นเหยื่อ ซื้อขายแลกเปลี่ยน ต้องทำเป็นธุรกิจ ต้องทำแล้วมันจะยั่งยืน

ยั่งยืนใครล่ะ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดที่มันจะยั่งยืนตลอดไป แต่มันจะเป็นอดีตไปในปัจจุบันนี้ และในอนาคตมันจะเป็นอดีตไป สิ่งที่อดีตๆ มันเป็นยุคเป็นสมัย ยุคสมัยของครูบาอาจารย์ของเราไง

ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ไว้เป็นธรรมและวินัยเป็นศาสดา กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการไว้

หลวงตาพระมหาบัวท่านเล่าให้ฟังเองว่าหลวงปู่มั่นบอกว่า มันเจริญตั้งแต่สมัยพระจอมเกล้าฯ เพราะพระจอมเกล้าฯ พยายามรื้อฟื้นขึ้นมาด้วยภาคทฤษฎี ด้วยธรรมวินัยให้มันซื่อตรงตรงกับสัจจะความจริง

แล้วมีผู้มีบุญไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาฝึกหัดปฏิบัติ โดยมีเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นผู้ที่คอยปรึกษา คอยปรึกษาตรวจสอบไม่ให้ฝ่ายปฏิบัติเห่อเหิมทะเยอทะยาน เออออห่อหมกว่าเราเป็นจริง จริงโดยกิเลส จริงโดยการหลอกลวง ฝึกหัดปฏิบัติมากน้อยขนาดไหน ตรวจสอบเช็ก กับหลวงปู่เสาร์ท่านคุ้มครองดูแล

ถึงที่สุดแล้ว ภาคทฤษฎี ภาคปริยัติ คือเจ้าคุณอุบาลีฯ ต้องตรวจสอบกัน ตรวจสอบว่ามันจริงหรือไม่จริง มันใช่หรือไม่ใช่ เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็ฝึกหัด ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตในเมืองไทย ท่านก็ศึกษาเล่าเรียนแล้วท่านก็อยากจะปฏิบัติด้วย ปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดท่านถึงบอกว่า ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติต่างกันราวฟ้ากับดิน

แต่หลวงปู่มั่นบอกว่า เวลาฝึกหัดปฏิบัติไปแล้ว ปริยัติ ปฏิบัติ มันจะเป็นอันเดียวกัน

ฟ้ากับดิน แต่คนรู้ ผู้รู้จริงอันนั้นไง นี่ถ้ามันเป็นจริงๆ

นี่พูดถึงสื่อไง เราก็เห็นใจนะ สิ่งที่ทำๆ อยู่นี่เพราะเราเห็นคุณค่าแบบนี้ เราเห็นคุณค่าตั้งแต่สมัยเราอยู่กับท่าน ที่ท่านทำอย่างไร ท่านทำเพื่อประโยชน์อย่างไร ท่านทำด้วยความเป็นประโยชน์แบบธรรม ไม่มีทุจริต ไม่มีการแอบแฝง ไม่มีสิ่งใดเข้ามาเจือปน

แล้วท่านพูดด้วย เวลาเขาทำเป็นภาคธุรกิจ เขาทำเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ท่านบอกว่ามันเศร้าหมอง มันไม่เป็นจริง

มีมากมีน้อยทำเต็มที่เลย เท่าไรก็เท่านั้น แล้วเวลาพระให้กันไม่ได้ เวลาสอนไง ให้ธรรมเป็นทานๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้ทำ แล้วถ้าทำ ถ้าทำแล้วก็ไม่ต้องให้ใครยอมรับ ให้ใครมาการันตี เพราะใครมันจะมีจิตใจสูงส่งเท่าผู้ที่ปฏิบัติธรรม ธรรมที่ปฏิบัติขึ้นมาในหัวใจ บุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ มันมีคุณค่ามากน้อยขนาดไหน

แล้วปุถุชนคนหนาโดยสังคม เขาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เขาเอาอะไรมาชม เขาจะชมได้อย่างไร เขาไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่เคยเห็นแสงสว่าง ความมืดบอด ยุคสมัย ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เก่ง เก่งแต่การศึกษา เก่งแต่การจำมา แล้วจะมาติฉินนินทาคนทำดีทำข้อเท็จจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ใครจะมาชื่นชมท่าน ท่านจะสวนกลับทันทีเลย “ที่ชมๆ ชมเพราะอะไร แล้วชมอย่างไร” ตอบไม่ได้สักคน คนไม่รู้มาชมมีคุณค่าตรงไหน คนที่มีคุณค่า คนที่เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมสิ นั่นน่ะถึงจะมีคุณค่า

ฉะนั้น พระถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรม ใครจะมี พระยังไม่รู้ให้ธรรมเป็นทาน ไม่รู้จักการเสียสละ ใครจะเสียสละ พระไม่ทำเป็นธรรม ใครจะทำ

แต่พอทำมาแล้วมันเป็นยุคเป็นสมัย ถ้าสมัยนี้แล้ว ของเรา เราก็ทำของเราอยู่ มันก็เป็นยุคสมัยเหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องให้มันเป็นตามธรรมไง เพราะสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นรีไฟแนนซ์ มันเป็นการรีแบบว่ากลายเป็นกระตุ้นกระตุกให้จิตใจเหมือนกับการตลาดให้มันฟื้นมาๆ

นี่ก็เหมือนกัน เราแจกหนังสือๆ ไป มันจะลงทุนด้วยเม็ดเงิน มันจะลงทุนด้วยความเหน็ดเหนื่อยของผู้ที่กระทำ ลงทุน คนนั้นได้บุญน่ะ

แต่เตือนสังคมปากดีทั้งนั้นน่ะ แต๊ดๆๆ แต่พฤติกรรมเป็นอย่างนั้นไหม

มีโยมมากมายเหน็บหนังสือกลับมาหาเราเลย ว่าประวัติหลวงปู่มั่น ปฏิปทาหลวงปู่มั่น ทุกคนสอนหมดเลย แต่มันทำไมทำตัวกันอย่างกับวัดบ้านเลย

น่าอายไหม เอาหนังสือกลับมาถามเรานี่แหละ

เราบอกว่า มันก็กรรมของสัตว์ไง

คนที่เขามีสติมีปัญญาเขาศึกษาแล้วเขาฝึกหัดปฏิบัติ เขาจะทำให้ได้ ถ้าทำให้ได้ขึ้นมา ทำเอาเนื้อหาสาระ ทำเอาข้อเท็จจริงนั้น ทำข้อเท็จจริงนั้นมันเกิดมาจากอะไร มันเกิดจากความปกติสุข ถ้าความปกติสุขนั้นเป็นขึ้นมาแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น ถ้าเป็นบุคคลนั้นนะ มันจะก้มแล้วกราบแล้วกราบเล่าๆ

หลวงตาพระมหาบัวท่านสิ้นกิเลส ท่านบอกว่า เหมือนพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่าๆ กราบถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถึงเร่งความเพียรจากการคุ้มครองดูแลของหลวงปู่มั่น คุ้มครองดูแลจนส่งเสริมไง

ส่งเสริมเพราะเวลาปฏิบัติเห็นผิดไป เวลาขึ้นไปถามปัญหาไง เราก็มีของเรานะ คือมันปฏิบัติมันเห็น แต่มันเจือไปด้วยอวิชชา มันเจือไปด้วยกิเลสไง สมุทัยมันเจือปนมา

เราจะฝึกหัดปฏิบัติมากน้อยขนาดไหนมันจะเจือปนไปด้วยตัณหาความทะยานอยาก ทิฏฐิมานะ ความเห็นผิดๆ แต่มันคิดว่ามันถูกเพราะมันไม่เคยเห็น แล้วขึ้นไปรายงานผล ท่านบอกว่า เราก็มีของเราขึ้นไป หงายท้องทุกที

กราบแล้วกราบเล่า กราบถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถึงครูบาอาจารย์ที่คุ้มครองดูแลไม่ให้สมุทัยมันเจือปน คือไม่ให้กิเลสมันแบ่ง ไม่ให้ตัณหาความทะยานอยากอวิชชาแบ่งปันผลการปฏิบัติของเรา

เราประพฤติปฏิบัติเต็มกำลังของเรา แต่อวิชชาอยู่ที่ฐีติจิตมันแบ่งคุณงามความดีในหัวใจของเราไปอยู่เป็นอำนาจมันกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ

ปุถุชน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บุคคลคู่ที่ ๑ พระโสดาบันมีคุณธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ยังมีส่วนแบ่งของกิเลส ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นบุคคลคู่ที่ ๒ บุคคลคู่ที่ ๒ มีคุณธรรม ๕๐ เปอร์เซ็นต์ กิเลสอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ยังจะต้องต่อสู้กันไปถึงเต็มที่เป็นบุคคลคู่ที่ ๓ บุคคลคู่ที่ ๓ มีคุณธรรม ๗๕ เปอร์เซ็นต์ มันยังมีอวิชชาอีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ปนอยู่ในนั้นตลอดเวลา จนถึงบุคคลคู่ที่ ๔ ชำระล้างกิเลสสิ้นไป นี่คุณธรรม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แต่ขณะที่มานะบากบั่นแต่ละชั้นแต่ละตอนไม่มีครูบาอาจารย์คอยคุ้มครองดูแลมันจะเอาความสามารถมาจากไหน เพราะอะไร

กิเลสอยู่ที่ฐีติจิต นี่คำพูดของหลวงปู่มั่น

ฐีติจิตคือภวาสวะ คือภพ

มารเอย เธอเกิดจากความดำริ” ไม่ใช่ความคิด ความคิดเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ แล้วความรู้สึกออกมาจากภวาสวะ จากภพ กิเลสมันอยู่ตรงนั้นน่ะ มันจะไม่เจือปนมาได้อย่างไร มันไม่นอนเนื่องมากับจิตได้อย่างไร มันเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่ด้วยคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นี่การกระทำไง

การกระทำฝึกหัดปฏิบัติ เราก็มีของเรา เราปฏิบัติรู้เห็นไปร้อยแปดพันเก้า แต่ผิดทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันเจือปนมาล้านเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ฐีติจิต อวิชชาอยู่ตรงนั้น ลูกสาว ๓ คนนี้มันมาแล้วชั้นหนึ่งนะ ลงมานี่หลานมันอีกชั้นหนึ่งนะ ลูกมันหลานมันกี่ชั้น แล้วบุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ ไง

นี่พูดถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้วในพระไตรปิฎก ธรรมและวินัย กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เวลาเจริญขึ้นมาแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดปฏิบัติตามพยากรณ์เลย

แล้วถ้าคนไม่มีบุญทำอย่างไร

แล้วคนที่มีบุญทำแล้ว ทำเสร็จแล้ว สมัยหลวงปู่มั่นไม่มีเทป ท่านนิพพานไปแล้ว หลวงตาผู้อุปัฏฐากถึงเห็นตู้เทปอันเบ้อเริ่มเลย ในปัจจุบันนี้ท่านเห็นคุณค่าไง เพราะท่านเสียดาย ท่านพูดประจำว่าสมัยหลวงปู่มั่นไม่มีเทป

แล้วสมัยนี้ล่ะ เพราะมันมีเทปขึ้นมา ถ้าเทปขึ้นมา แล้วพระปฏิบัติเช้าขึ้นมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง มีบาตรใบเดียว เทปไปเอามาจากไหน เอามาแจกคนเอามาจากไหน มันถึงต้องขอบคุณบุญคุณของคนที่มีธรรมไง

แต่ถ้าเป็นภาคธุรกิจ เป็นเรื่องทางกระแสสังคม กระแสโลก นั่นเราไม่อยากจะไปพูดถึงเขา นั่นเรื่องของเขา นั่นเรื่องของโลกไง แต่เราก็เกิดมากับโลกนี่แหละ แต่เรามีบุญ เราถึงได้มาพบครูบาอาจารย์ของเรา

ครูบาอาจารย์ของเราเป็นธรรม ท่านมีบุญกุศลของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาของท่านเยอะแยะ แล้วลูกศิษย์ลูกหามาอยู่กับท่านนะ เริ่มต้นก็เป็นคนดีทั้งนั้นน่ะ สุดท้ายแล้วนะ สะบัดตูดทิ้งท่านไปเยอะแยะ สะบัดก้นไปเลย ถ้าไม่ถูกใจไม่ชอบใจ เดี๋ยวมันก็สะบัดก้นไปแล้ว

ท่านไม่สนใจเลย เพราะท่านเป็นธรรม

เพราะมาแล้วเจ้ากี้เจ้าการจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ สุดท้ายก็สะบัดก้นไปหมดน่ะ แต่ท่านก็มาถึงโครงการช่วยชาติฯ แล้วทำจบสิ้น

นี่พูดถึงเทปนะ เพราะที่มาไง เพราะบอกว่า เขามีซีดีธรรมะและเทปแคสเซ็ตของหลวงตาพระมหาบัวมากมาย

ขอบคุณๆ ขอบคุณเมตตาธรรมของท่าน แล้วถ้าเราถ่ายเทปแล้ว สิ่งที่มันหมดอายุไปก็จบ ไม่มีปัญหา การเก็บรักษาไง การเก็บ การรักษา มันรักษาด้วยจิตใจที่เป็นธรรม สุดท้ายแล้วนะ มันไม่มีอะไรคงที่หรอก มันต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา แล้วถ้ามันเสียหายแล้ว เราก็กำจัดไม่ให้มันอุจาด ไม่ให้ใครเข้ามารู้มาเห็น เราเคารพของเรา แต่มันหมดอายุการใช้งานไง

สิ่งใดหมดอายุการใช้งาน ใช้งานไม่ได้ เราก็ต้องกำจัดให้มันสมควร แต่สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราก็เก็บรักษาไว้ เพราะเราเคารพบูชาของเรา

ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นยุคเป็นสมัย แต่ผลของหัวใจของคนที่ได้รับสื่ออย่างนั้นแล้วมันพัฒนาขึ้นมา เป็นการฟังธรรมไง ฟังธรรมในภาคปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แต่การฝึกหัดปฏิบัติอย่างใดก็ได้ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ขอให้เขาได้ใช้ประโยชน์ในพระพุทธศาสนา

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าหลากหลายมาก ใครเข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้นจะได้ประโยชน์มากน้อยขนาดไหนมันก็อยู่ที่บุญวาสนาของคน เอวัง